Disruption เกิดขึ้นได้อย่างไร
Source: Clayton Christensen, The
Innovator’s Solution (2003)
รูปภาพที่ 2 แสดงเส้นทางการเคลื่อนย้ายของโรงงานเหล็กขนาดเล็ก (Steel Minimills)
เพื่อให้เข้าใจว่า Disruption เกิดขึ้นได้อย่างไร คริสเต็นเซ่น อธิบายด้วยกระบวนการเกิด Disruption เพื่อให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยยกตัวอย่างการเกิด Disruptionในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าดังนี้
การผลิตเหล็กกล้ามีสองวิธี วิธีดั้งเดิมเรียกว่า การผลิตเหล็กกล้าแบบบูรณาการหรือแบบครบวงจร (Integrated Steel mill) ซึ่งใช้เงินกว่า 10 ล้านเหรียญในการสร้างโรงงานดังกล่าว (2012) สามารถผลิตเหล็กกล้าเต็มรูปแบบ ตั้งแต่เหล็กเส้นที่อยู่ด้านล่างของตลาดจนถึงแผ่นเหล็กที่ใช้ในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์ ซึ่งอยู่ด้านบนของตลาด เนื่องจากเป็นเหล็กที่ใช้การผลิตที่ซับซ้อนกว่าจึงทำกำไรได้มากกว่าเหล็กเส้นที่อยู่ด้านล่านของตลาด (รูปภาพที่ 2)
ในปี 1965 มีวิธีใหม่ที่ใช้ในการผลิตเรียกว่า การผลิตเหล็กกล้าแบบขนาดเล็ก (Steel Minimills) ซึ่งใช้วิธีการหลอมเศษเหล็กในเตาเผาไฟฟ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับการผลิตแบบมินิมิลล์ คือสามารถทำเหล็กที่มีคุณภาพแค่ไหนก็ได้ ด้วยราคาต่ำกว่าการผลิตแบบบูรณาการ คริสเต็นเซ่น กล่าวว่า ถ้าสมมติว่าคุณเป็น ซีอีโอของบริษัทผลิตเหล็กกล้าแบบบูรณาการแห่งหนึ่งซึ่งทำกำไรจากยอดขายได้ประมาณปีละ 4-5% ถ้าผลิตด้วยเทคโนโลยีแบบมินิมิลล์ จะช่วยให้ลดต้นทุนในการผลิตได้ถึง 20% คุณคิดว่าคุณจะยอมรับเทคโนโลยีนี้หรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีบริษัทผลิตเหล็กกล้าแบบบูรณาการรายใดในโลกที่หันกลับมาใช้เทคโนโลยีแบบมินิมิลล์เลย
ในอุตสาหกรรมเหล็ก แบ่งตลาดเป็นหลายระดับเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ด้านล่างของตลาดเป็นตลาดเหล็กเส้น (Rebar) ในตอนแรกเทคโนโลยีการผลิตแบบมินิมิลล์ซึ่งผลิตเหล็กจากการหลอมเศษเหล็ก ดังนั้นจึงมีคุณภาพไม่ดีนัก ตลาดที่เหมาะสมกับเหล็กเส้นคือ ใช้กับงานก่อสร้างเพราะไม่มีข้อกำหนดรายละเอียด (Specification) สำหรับเหล็กเส้น
ในขณะที่โรงงานผลิตแบบมินิมิลล์โจมตีตลาดเหล็กเส้น โรงงานแบบบูรณาการไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ แต่มีความสุขจากการออกจากตลาดเหล็กเส้นเพราะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้น้อยที่สุดในธุรกิจของพวกเขา พวกเขาย้ายสินทรัพย์จากตลาดเหล็กเส้นไปที่ตลาดเหล็กรูปพรรณและเหล็กแท่งที่มีกำไร 12% ดังนั้นโรงงานขนาดเล็กจึงขยายกำลังการผลิตเหล็กเส้น ส่วนโรงงานผลิตแบบบูรณาการก็ปิดกิจการเหล็กเส้นลงเพราะเมื่อตัดส่วนที่มีกำไรต่ำสุดของสายการผลิตออกแล้ว ความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นของบริษัทก็เพิ่มขึ้น
คริสเต็นเซ่น กล่าวว่าโรงงานผลิตเหล็กกล้าแบบบูรณาการ และโรงงานผลิตเหล็กกล้าแบบมินิมิลล์ต่างคนต่างมีความสุข จนถึงปี ค.ศ. 1979 โรงงานผลิตขนาดเล็กประสบความสำเร็จในการผลักดันโรงงานผลิตแบบบูรณาการออกจากธุรกิจเหล็กเส้น ราคาของเหล็กเส้นลดลง 20% ทันทีที่โรงงานผลิตแบบบูรณาการออกจากตลาด โรงงานผลิตขนาดเล็กต่างก็แข่งขันราคากันอย่างดุเดือดเพื่อความอยู่รอด มีบางรายมองเห็นโอกาสในตลาดบนว่า ถ้าสามารถผลิตเหล็กที่มีคุณภาพดีกว่าก็จะสามารถทำเงินได้อีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าโจมตีตลาดระดับบนซึ่งเป็นตลาดเหล็กฉากและเหล็กแท่ง (Angle iron, iron bar, rod) ของโรงงานผลิตแบบบูรณาการ ซึ่งยินดีที่จะทิ้งตลาดเหล็กฉากและเหล็กแท่งที่มีกำไร 12% ไปสู่ตลาดเหล็กโครงสร้าง (Structural steel) ที่ทำอัตรากำไรขั้นต่ำ 18% สิ่งเดียวกันก็เกิดขึ้นอีกครั้งในปีค.ศ. 1984 เมื่อโรงงานผลิตแบบบูรณาการทิ้งตลาดเหล็กฉากและเหล็กแท่งที่ทำกำไรต่ำกว่าไปสู่ธุรกิจเหล็กโครงสร้างที่ทำกำไรสูงกว่า ในทำนองเดียวกัน ในปี 1994 โรงงานผลิตเหล็กแบบมินิมิลล์ สามารถเข้ามาแทนที่ตลาดเหล็กโครงสร้าง โรงงานทั้งคู่ต่างมีความสุขเพราะได้กำไรเพิ่มขึ้น โดยโรงงานผลิตแบบบูรณาการได้กำไรจากการตัดสินทรัพย์ที่สร้างผลกำไรน้อย ทำให้ตัวเลขกำไรเพิ่มขึ้น ส่วนโรงงานผลิตเหล็กแบบมินิมิลล์ ได้กำไรเพราะตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น และได้ประโยชน์จากการผลิตที่มีต้นทุนต่ำกว่าวิธีเดิมอีก 20% ทุกครั้งที่ย้ายสู่ตลาดบน ปัจจุบันโรงงานผลิตเหล็กแบบมินิมิลล์ มีส่านแบ่งตลาดเหล็กกล้าทั้งหมดประมาณ 65% ส่วนโรงงานผลิตเหล็กกล้าแบบบูรณาการรายหนึ่งล้มละลาย
ความคิดเห็น